หากมองในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภคเชื่อแน่เลยว่าเกือบ 80% หลังจากค้นหาข้อมูลสินค้าและเข้าชมเว็บไซต์จะยังไม่ตัดสินใจซื้อตั้งแต่ครั้งแรกอย่างแน่นอน ปัญหาเหล่านี้นักการตลาดแทบทุกคนต้องเคยเผชิญกันมาแล้วกับโจทย์ที่ว่าทำอย่างไรให้กลุ่มเป้าหมายกลายมาเป็นลูกค้า เทคนิค Retargeting เป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ที่หลายคนเลือกใช้พลิกเกมส์เพื่อกระตุ้นการขาย สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ด้าน Digital Marketing คงรู้ถึงประโยชน์และความหมายดีอยู่แล้วแต่นักการตลาดมือใหม่อาจยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร และที่สำคัญจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจอย่างไรบ้าง เอาเป็นว่ามาติดตามพร้อมกันได้เลย
Retargeting คือ
Retargeting คือ การทำการตลาด การทำโฆษณาแบบออนไลน์หรือแบบดิสเพลย์ จากข้อมูลของผู้ที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อสินค้า โดยอาจมีการกดเลือกหรือกดถูกใจเอาไว้เพื่อตัดสินใจซื้อในอนาคต ข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่การค้นหาไปจนถึงการคลิกเข้าชมเว็บไซต์รวมถึงระยะเวลาที่ใช้อยู่บนหน้าเว็บไซต์นั้นๆ จะถูกเก็บรวบรวมไว้ใน Cookie เราสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ทันที คุณจะสังเกตได้ว่าภายหลังที่ออกจากเว็บไซต์เมื่อเข้า Facebook หรือแม้แต่ google จะมี Ads สินค้าที่เข้าไปดูโผล่ขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาจนคุณต้องยอมใจอ่อนและตัดสินใจซื้อในที่สุด สำหรับการทำ Retargeting แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
- Off-Site
การกำหนดเป้าหมายตอบโต้แบบ Off-Site เป็นรูปแบบที่ไม่ได้จำกัดกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาคลิกชมข้อมูลผ่านเว็บไซต์เท่านั้น เพราะปัจจุบันมีช่องทางโซเชียลที่ได้รับความนิยมมากมายในการนำเสนอข้อมูลและขายสินค้า Facebook เป็นช่องทางสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดและผู้คนเกือบทั้งโลกเลือกใช้บริการ ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาเริ่มให้ Engagement กับกลุ่มเป้าหมายเป็นไปได้มากขึ้นโดยอ้างอิงข้อมูลจากกิจกรรมและการมีส่วนร่วมบนหน้าเพจ
- On-Site
การกำหนดเป้าหมายตอบโต้แบบ On-Site เป็นรูปแบบที่จำกัดกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์แต่ยังไม่เคยผันตัวเองมาเป็นลูกค้า การทำ Retargeting กับกลุ่มเป้าหมายนี้เพื่อผูกสัมพันธ์โดยสามารถกำหนดได้ดังนี้
- กำหนดเป้าหมายตอบโต้ตามสินค้าที่สนใจหรือเลือกใส่ตระกล้าไว้แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเป็นเจ้าของ
- กำหนดเป้าหมายตอบโต้ตามโซเชียลมีเดียที่กลุ่มเป้าหมายเลือกใช้ เช่น Facebook, Google, YouTube, Twitter หรือ Instagram เป็นต้น โดยนำไปตั้งค่าตามแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อทำ Retargeting
Retargeting ต่างกับ Remarketing อย่างไร
เมื่อพูดถึงการทำ Retargeting หลายคนมักจะนึกถึง Remarketing ไปด้วย เพราะมักจะถูกนำมาใช้คู่กันอยู่ตลอดซึ่งทำให้เกิดความสงสัยว่า Retargeting ต่างกับ Remarketing อย่างไร หากมองในบริบทของการทำการตลาดทั้ง 2 คำนี้แทบไม่มีความแตกต่างกันเลย เพราะเป้าหมายเป็นการกระทำเพื่อทำให้กลุ่มคนที่เข้ามาดูสินค้าแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเข้ามาเป็นลูกค้าให้ได้ในที่สุด แต่ในรายละเอียด Remarketing จะแตกต่างในรายละเอียดอยู่เล็กน้อย ดังนี้
Remarketing คือ การทำการตลาดผ่านการเก็บข้อมูลจากผู้ที่สนใจสินค้าด้วยการติด Tag บนเว็บไซต์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาดนำมาทำโฆษณาเพื่อส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงใจ เช่น เพศ อายุ พฤติกรรม ความสนใจ เป็นต้น การตลาดลักษณะนี้เหมาะกับเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นมาสักพักแล้วแต่สำหรับเว็บไซต์ใหม่ๆ อาจต้องอาศัยเวลาและดำเนินการควบคู่ไปกับการทำ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์อีกทางหนึ่ง
สำหรับใครที่อ่านบทความมาถึงตรงนี้แล้วยังเกิดความสงสัย งง หรือไม่เข้าใจแล้วล่ะก็ เพื่อให้เห็นภาพเราขอสรุปสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ถึงความแตกต่างของ 2 คำ ดังนี้
Retargeting คือ ติดตามข้อมูลจากการเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์และส่งโฆษณาไปตามข้อมูลที่ได้ทันที
Remarketing คือ เก็บข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆ ก่อน เพื่อนำมาทำโฆษณาทีหลัง
Retargeting หรือ Remarketing เลือกแบบไหนดี
เลือก Retargeting ให้กับธุรกิจ เมื่อ…..
- ต้องการดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ให้กับสินค้าหรือบริการของเรา
- เว็บไซต์มีผู้คลิกเข้าเยี่ยมชมจำนวนมาก แต่ยอดขายสินค้าไม่เพิ่มขึ้น
- ยังไม่มีข้อมูลลูกค้าอย่างเป็ทางการ เช่น อีเมล ของกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้า
เลือก Remarketing ให้กับธุรกิจ เมื่อ…..
- มีข้อมูลรายชื่อ อีเมล อยู่ก่อนเรียบร้อยแล้ว
- ขาดงบประมาณในการยิง Ads โฆษณาออนไลน์
- ต้องการชักชวนให้กลุ่มลูกค้าเก่าหรือลูกค้าปัจจุบันกลับมาซื้อสินค้ากับเราอีกครั้ง
เทคนิค Retargeting เพื่อเพิ่มยอดขาย
1.Pick The Right Target
หากคุณกำลังมีความคิดที่จะทำ Retargeting สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การกำหนดเป้าหมาย ซึ่งจำเป็นต้องทำด้วยความละเอียดรอบคอบ ยิ่งกำหนดได้ลึกมากเท่าไรยิ่งเป็นผลดีต่อแบรนด์มากเท่านั้น คุณต้องมีความเข้าใจ Journey ของว่าที่ลูกค้า ยิ่งเข้าใจมากยิ่งสามารถกำหนดและทำให้มองเห็นภาพของเป้าหมายชัดเจนขึ้น
2. Put in the Right Loop
หลังจากกำหนดเป้าหมายขั้นตอนหลังจากนนี้ คือ การเข้าใจ Journey ของว่าที่ลูกค้า เพราะลูกค้าแต่ละ Stage มีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป สิ่งที่แบรนด์ควรทำคือต้องพาลูกค้าเปลี่ยน Stage ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้
3. Talk with The Right Content
หลังจากทำความเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดีแล้ว การออกแบบ Content ก็สามารถช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้เช่นเดียวกัน สำหรับเทคนิคการออกแบบมีดังนี้
- Lead Form: แบบฟอร์มนี้จะอยู่ใน Ads Campaign เป็นการรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าจริงๆ และมีโอกาสที่จะกลายมาเป็นลูกค้าได้ โดยจะส้งให้เซลเพื่อทำการปิดการขายต่อไป
- Website Visiting: เว็บไซต์ถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ทุกธุรกิจควรมี เพราะทำหน้าที่เปรียบเหมือนหน้าร้านที่คอยเป็นหูเป็นตาว่ามีใครเข้ามาสนใจสินค้าของคุณมากน้อยเพียงใด คุณสามารถติดตั้ง Cookie ไว้แอบติดตามต่อได้
- Video Engagement: วิธีการนี้นักการตลาดนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยสามารถเลือก Retargeting ผู้ที่เข้ามารับชม VDO และเลือกยิง Ads กลับไปหาผู้ชมได้
4. Present by The Right Channel
ปัจจุบันแพลตฟอร์มที่สามารถ Present มีหลายช่องทางให้เลือกได้ตามความเหมาะสมของแต่ละธุรกิจ แต่หลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ฝั่ง คือ E-mail (ที่สำคัญหากต้องการเลือกใช้ฝั่งนี้ คือ คุณจำเป็นต้อง
มีรายชื่ออีเมลก่อน) ฝั่ง Social Media (Facebook + Twitter + Instagram + TikTok) และฝั่ง Google (YouTube + เว็บไซต์)
ข้อดีของการทำ Retargeting
- ช่วยให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่ถูกใจและชัดเจนมากขึ้น แถมยังปิดการขายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
- เมื่อกลุ่มเป้าหมายแคบลงส่งผลให้งบการทำโฆษณาลดลงตามไปด้วยและที่สำคัญยังได้กลุ่มเป้าหมายที่จะมาเป็นลูกค้าอย่างแท้จริง
- บางครั้งการตัดสินใจซื้อสินค้าต้องใช้ระยะเวลาและการเปรียบเทียบข้อมูลอื่นๆ มากมาย แต่เชื่อเถอะว่าหากเรามีเทคนิคการย้ำแบรนด์อยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งกลุ่มเป้าหมายย่อมต้องใจอ่อนและกลับกลายมาเป็นลูกค้าของเราจนได้
- เพิ่มการรับรู้ถึงธุรกิจของเราไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือช่องทางโซเชียลต่างๆ ก็สามารถโฆษณาสินค้าของเราได้อย่างไม่มีวันหยุด
สรุป
การวางแผนการตลาดเป็นสิ่งที่ควรทำอันดับแรกเพื่อให้ขั้นตอนต่างๆ หลังจากนี้ดำเนินไปด้วยดีและมีประสิทธิภาพ นักการตลาดต้องอาศัยกลยุทธ์ที่หลากหลายเข้ามาผสมผสานกันไม่เว้นแม้แต่การทำ Retargeting เพื่อช่วยกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจมาเป็นลูกค้าเร็วขึ้น แต่แท้จริงแล้วการเลือกใช้เทคนิคทางการตลาดไม่มีข้อจำกัดตายตัว สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์จะพลิกแพลงและเลือกเทคนิคที่เหมาะกับธุรกิจได้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและทำกำไรได้มากขึ้นกว่าเดิม