Conversion Rate คืออะไร เครื่องมือวัดความสำเร็จของงานโฆษณา

conversion rate คือ

ในปี 2022 ถือเป็นช่วงเวลาที่การตลาดออนไลน์เติบโตและเกิดการแข่งขันสูงมากเพราะพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ธุรกิจต่างๆ จึงหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการขายสินค้าเป็นหลักและลงทุนทำโฆษณาออนไลน์ในหลายช่องทางเพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักและยืนอยู่บนตลาดได้อย่างมั่นคง

แต่เครื่องมืออะไรล่ะที่จะบอกได้ว่าการทำโฆษณาครั้งนี้ประสบความสำเร็จ Conversion Rate ถือเป็นเครื่องมือวัดที่สำคัญต่อการทำโฆษณาเพราะช่วยกรองจำนวนคลิกเข้าชมเหลือเพียงกลุ่มคนที่สนใจถือเป็นประโยชน์กับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจอย่างมาก

Conversion Rate คือ

Conversion ในเชิงธุรกิจ หมายถึง ยอดการสั่งซื้อหรือยอดจำหน่ายสินค้าที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น Conversion Rate คือ อัตราส่วนระหว่างยอดจำหน่ายสินค้าตามจริง หรือสัดส่วนการตอบสนองต่อโฆษณา (แล้วแต่กำหนดเนื่องจากธุรกิจมีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป) เทียบกับยอดคลิกเข้าชมในช่วงเวลาหนึ่ง หรืออัตราส่วนที่ต้องการเปรียบเทียบเพื่อบ่งบอกถึงความสำเร็จตามวัตถุประสงค์

สำหรับการคำนวณ % Conversion Rate = ( Conversion / Clicks ) x 100

ตัวอย่างเช่น

  • มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ 1,000 คน คลิกเข้าชมข้อมูล 100 คน CVR = (100×100/1,000) = 10%
  • มีคนเข้าร้าน 500 คน ซื้อสินค้า 200 คน CVR = (200×100/500) = 40%
  • มีคนคลิกโฆษณาบน Facebook Ad 500 ครั้ง สั่งซื้อสินค้า 100 ออเดอร์ CVR = (100×100/500) = 20%

จากสูตรแสดงให้เห็นว่าหากต้องการเพิ่ม Conversion Rate เราจำเป็นต้องเพิ่มการกระตุ้นกิจกรรมที่ทำให้เกิด Conversion ขณะที่จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เท่าเดิม หรือ จำนวน Conversion เท่าเดิมและลดจำนวนผู้เข้าชม หรือ เพิ่ม Conversion และจำนวนผู้เข้าชมไปพร้อมกัน

กระบวนการพื้นฐานสำหรับการทำ Conversion Rate มีดังนี้

  • สร้างพีระมิดการขาย หรือ สร้าง Funnel
  • ทำการทดสอบถึงสาเหตุมีอะไรบ้างที่ทำให้เกิด Conversion
  • ดูผลเพื่อให้ทราบว่าอะไรที่ทำให้เกิด Conversion หรือต้องปรับปรุงแก้ไข
  • หาแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • พัฒนาสินค้า/บริการเดิม หรือ เพิ่มสินค้า/บริการใหม่ๆ

เคล็ด (ไม่) ลับ การเพิ่ม Conversion Rate

 สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดที่กำลังมองหาแนวทางหรือวิธีการเพิ่ม Conversion Rate บทความนี้รวบรวมข้อมูลอันเป็นประโยชน์อย่างมาก ครอบคลุมเคล็ดลับและข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ซึ่งจะเปลี่ยนจากผู้ชมเว็บไซต์ให้เป็นลูกค้าอย่างง่ายดาย มาดูไปพร้อมๆ กันว่ามีอะไรบ้าง

  1. Call To Action : ปุ่ม Call To Action ถือเป็นด่านหน้าที่มีความสำคัญหน้าเว็บไซต์โดยต้องไม่มีเยอะจนเกินไป เพื่อสามารถดึงดูดให้ผู้เข้าชมคลิกสมัครสมาชิก หรือคลิกเพื่อกดสั่งสินค้า เป็นต้น
  2. ข้อความ : นอกจากภาพประกอบที่สวยงาม ข้อความต่างๆ ที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ควรต้องอ่านง่าย
    ได้ใจความ คอนเทนต์ที่เป็นข้อความต้องกระชับ อ่านแล้วเข้าใจมีความหมายตรงตัวและสามารถดึงดูดความสนใจได้
  3. เวลา : เวลาเป็นส่วนสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ ผู้เข้าชมมักเกิดความลังเลที่จะสั่งสินค้าซึ่งเป็นปกติของคนที่มักต้องการเวลาในการตัดสินใจ หรือเปรียบเทียบจุดเด่น จุดด้อยของสินค้า หน้าที่ของเรา คือ ใช้เวลาเป็นตัวกระตุ้นในการซื้อ เช่น สั่งวันนี้ส่งฟรีทันที หรือ รับส่วนลด 10% เมื่อซื้อครบ 5,000 บาท
  4. การตอบกลับลูกค้า : โดยปกติแล้วเมื่อกลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจสินค้าส่วนใหญ่จะเข้ามาสอบถามข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมตามช่องทางออนไลน์ของบริษัท ดังนั้น ช่องทางต่างๆ ควรมี Live Chat เพื่อให้เกิดการตอบสนองลูกค้าได้ทันที เพราะยิ่งลูกค้าได้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง การตัดสินใจซื้อสินค้าก็จะง่ายและรวดเร็วตามไปด้วย
  5. โฆษณา : เมื่อผลิตโฆษณา หรือ ยิง Ad โฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ไปแล้ว ประเมินเพื่อดูผลลัพธ์ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่มีความสำคัญอย่างมาก อาจดูจากจำนวนผู้เข้าชมและจำนวณยอด
    การสั่งซื้อ หากไม่เป็นไปตามเป้าหมายการปรับเปลี่ยนโฆษณา วิธีการต่างๆ นักการตลาดควรประเมินเพื่อให้การลงทุนไม่เสียเงินไปฟรีๆ
  6. การกรอกแบบฟอร์ม : นักการตลาดสามารถใช้ข้อดีของการกรอกแบบฟอร์มเพื่อวิเคราะห์ความสนใจหรือความต้องการของลูกค้าได้ แบบฟอร์มการสอบถามข้อมูลควรสั้นๆ ง่ายๆ อย่าขอข้อมูลเยอะจนลูกค้าเกิดความรำคาญจนเบื่อที่จะกรอกข้อมูล ส่วนใหญ่ควรกรอกเพียงชื่อและอีเมล โดยสามารถนำอีเมลมาทำ Email Marketing ได้อีกด้วย
  7. ความน่าเชื่อถือ : ความน่าเชื่อถือของสินค้าถือเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมากยิ่งสินค้าได้รับการรีวิว มีงานวิจัยรองรับ มีผลทดสอบจากสถาบันที่เชื่อถือได้ หรือปัจจุบันการเลือกใช้ Influencer ที่มีชื่อเสียงและมีผู้ติดตามจำนวนมากจะช่วยเพิ่มกำลังการซื้อได้จากกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและเกิดการแชร์ข้อมูลออกไปจนเกิดเป็นความสนใจวงกว้าง
  8. ภาพประกอบ : ภาพประกอบต้องมีความชัดเจน สวยงาม มองแล้วสามารถสื่อสารได้เข้าใจทันที หากมองยากหรือภาพไม่สวยงามลูกค้ามักจะเลื่อนผ่านและไม่สนใจทันที
  9. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ : ผู้เข้าชมเว็บไซต์กว่า 49% มักมองหาสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความปลอดภัยของเว็บไซต์และให้ความสำคัญกับเครื่องหมายเหล่านี้
  10. การชำระเงิน : ควรมีให้เลือกหลากหลายช่องทาง ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ทุกอย่างควรจบภายในหน้าเดียว ลำดับขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ที่สำคัญไม่ควรมีการบังคับให้ลงทะเบียนข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม

Conversion Rate ดีอย่างไร

  1. ทำให้สามารถเห็นกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
  2. สามารถกำหนดทิศทางการทำโฆษณาให้ตรงตามเป้าหมาย
  3. ลดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาเนื่องจากทราบกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
  4. ช่วยกระตุ้นยอดขายเหลือเพียงคนที่สนใจ
  5. เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้เป็นลูกค้าได้ง่ายขึ้น
  6. ช่วยให้นักการตลาดวางแผนงบประมาณการทำโฆษณาได้ง่าย

สรุป

การทำโฆษณาออนไลน์ถึงแม้ว่าจะสามารถทำได้ง่ายและใช้งบประมาณไม่สูงมากแต่การให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีนั้นค่อนข้างยากเพราะมีหลายปัจจัยที่อาจเป็นตัวแปลสำคัญ นักการตลาดจึงเลือก Conversion Rate เป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จของงานโฆษณาเพื่อเป็นตัวแทนว่าโฆษณาที่ผลิตออกมานั้นสามารถตอบโจทย์และส่งไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ทำให้สามารถเข้าใกล้กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมากขึ้น เพราะการคลิกเข้าชมไม่อาจบอกได้ว่าคนที่เข้ามาสนใจจริงๆ หรือคลิกเพียงผ่านๆ เท่านั้น จึงต้องดูยอดจำหน่ายสินค้าตามจริงร่วมด้วย